โรคลมชัก คืออะไร?
โรคที่เกิดจากความผิดปกติของกระแสไฟฟ้าในสมอง ส่งผลให้ผู้ป่วยมีอาการผิดปกติ เช่น นั่งนิ่งเหม่อลอย ชักเกร็ง หรือกระตุกเฉพาะส่วน เช่น ใบหน้า แขน ขา หรือในรายที่รุนแรงที่สุดอาจชักเกร็งกระตุกทั้งตัวและหมดสติ ซึ่งบางคนเรียกอาการนี้ว่า “โรคลมบ้าหมู” โดยอาการของโรคนี้มักมีสาเหตุของโรคต่างกันออกไปโดยขึ้นอยู่กับช่วงอายุ ดังนี้
วัยแรกเกิด:
มีสาเหตุมาจากภาวะสมองขาดออกซิเจน และการติดเชื้อระหว่างตั้งครรภ์
วัยเด็กเล็ก:
มักเกิดจากภาวะติดเชื้อในสมอง ไข้ขึ้นสูง
วัยรุ่น:
เกิดจากอุบัติเหตุต่อศีรษะ เช่น มอเตอร์ไซค์ล้ม หรือ ไม่ทราบสาเหตุ
วัยกลางคน:
เกิดจากภาวะเนื้องอกในสมอง
วัยสูงอายุ:
เกิดจากโรคอัมพาต โรคหลอดเลือดสมอง หรือโรคเนื้องอกสมอง
วิธีการรักษา
โรคลมชัก สามารถทำการรักษาได้ 3 วิธี คือ
1. ทานยากันชัก:
ซึ่งการทานยานั้นต้องทานอย่างต่อเนื่องประมาณ 2 ปีครึ่งถึง 3 ปี ซึ่งวิธีนี้สามารถรักษาผู้ป่วยถึง 2 ใน 3 ให้หายขาดจาก โรคลมชัก ได้
2. ผ่าตัด:
ในกรณีผู้ป่วยไม่ตอบสนองต่อยากันชัก หรือผู้ป่วยมีสาเหตุการชักจากการทำงานของสมองที่ผิดปกติ อาจใช้วิธีการผ่าตัดสมองเข้ามารักษา
3. การกระตุ้นเส้นประสาทเวกัส (Vagus nerve):
เพื่อช่วยยับยั้งการทำงานที่ผิดปกติของสมองที่กระตุ้นให้เกิดการชัก แต่วิธีนี้ยังใช้กันไม่มากเนื่องจากมีเฉพาะในบางสถานพยาบาลเท่านั้น และให้ผลการรักษาไม่ต่างจากวิธีอื่นๆ แต่มีค่าใช้จ่ายสูงกว่า
ผู้ป่วย โรคลมชัก ควรปฏิบัติตนอย่างไร
เนื่องจากโรคนี้อาจแสดงอาการขึ้นเมื่อใดก็ได้ ดังนั้นนอกจากการรับประทานยากันชักอย่างสม่ำเสมอแล้ว ผู้ที่ป่วยเป็น โรคลมชัก ควรหลีกเลี่ยงการทำกิจกรรมที่อาจเป็นอันตรายต่อตนเอง อย่างการว่ายน้ำ ดำน้ำ การทำงานเกี่ยวกับเครื่องจักร หรือทำงานบนที่สูง หรือทำกิจกรรมที่อาจเป็นอันตรายต่อทั้งตนเองและผู้อื่นอย่าง การขับรถ ดังเช่นในกรณีที่เป็นข่าวเมื่อเร็วๆ นี้