เคยคิดไหมคะว่าทำไมผู้คนยุคนี้ใจร้อนมากขึ้น ความอดทนลดน้อยลง ไม่รู้จักรอคอย แพ้ไม่ได้ ชนะไม่เป็น ฯลฯ พฤติกรรมเหล่านี้ก็ได้กลายเป็นแบบอย่างให้เด็ก ๆ พบเห็นได้ทุกวี่วัน

 

เด็กที่เติบโตขึ้นมาโดยเห็นตัวอย่างในสังคมแย่ ๆ มีไม่น้อย เมื่อผนวกเข้ากับการถูกเลี้ยงดูที่ไม่เหมาะสม พ่อแม่มักตามใจ อยากได้อะไรก็ได้ ถูกดูแลประคบประหงมในทุกเรื่อง เรียกว่าตั้งแต่วัยทารกแทบจะร้องไห้ไม่เป็น เพราะร้องแต่ละครั้ง พ่อแม่ก็ตอบสนองทันที พอเติบโตขึ้นมา ก็ฟูมฟักเลือกสิ่งที่คิดว่าดีให้ลูก จนลูกแทบจะไม่ต้องเผชิญกับปัญหา เพราะพ่อแม่จัดการให้หมด

ทักษะชีวิตบางประการของเด็กจึงขาดหายไป

ทั้งที่ภูมิต้านทานในการใช้ชีวิตมีความสำคัญมากที่สุดในยุคที่เด็กต้องเติบโตขึ้นไปในสภาพสังคมที่เต็มไปด้วยสภาพปัญหามากมาย และเด็กก็ต้องเผชิญกับโลกการแข่งขัน

การสร้างภูมิต้านทานให้ลูกได้รู้จักเผชิญปัญหา เรียนรู้จักการ “แพ้” และ “ชนะ” ให้เป็น เป็นเรื่องสำคัญยิ่งในยุคนี้ และเป็นเรื่องที่ต้องปลูกฝังตั้งแต่เล็ก เพราะสภาพปัญหาที่วุ่นวายอยู่ในทุกวันนี้ ส่วนหนึ่งเกิดจากน้ำมือผู้ใหญ่จำนวนไม่น้อยที่เป็นแบบอย่างไม่ดี และยึดติด “ต้องชนะ” เท่านั้น แพ้ไม่ได้

ทั้งที่จริง ๆ แล้วการสอนให้ลูกรู้จักผิดหวัง หรือรู้จักแพ้ จะช่วยสร้างภูมิต้านทานชีวิตเพิ่มขึ้นทุกครั้ง

เรื่องแพ้ - ชนะ เป็นหนึ่งในบทเรียนชีวิตที่ทำให้ลูกเติบโตอย่างมีคุณภาพ และเป็นเรื่องที่พ่อแม่สร้างให้ลูกได้

แล้วอย่างไรล่ะ?

หนึ่ง - ชนะได้ก็แพ้ได้

พ่อแม่ควรสอนให้ลูกเรียนรู้ว่าการชนะในวันนี้ไม่ได้หมายว่าความจะชนะตลอดไป เพราะเมื่อมีคนชนะก็ย่อมต้องมีคนแพ้เสมอ เพราะฉะนั้น ทุกคนก็มีโอกาสชนะและแพ้ได้เท่า ๆ กัน ไม่ใช่เรื่องแปลก และผู้ชนะก็ควรชื่นชมผู้แพ้ ในขณะเดียวกัน เมื่อแพ้ก็ควรยินดีกับผู้ชนะ ไม่มีใครชนะตลอดกาล และไม่มีใครแพ้ตลอดกาล ที่สำคัญ พ่อแม่ ผู้ปกครอง ต้องให้กำลังใจทุกครั้งเมื่อลูกผิดหวังหรือแพ้ และคอยปลุกขวัญกำลังใจพร้อมที่จะให้เขาลุกขึ้นใหม่ และให้เขาได้เรียนรู้ว่าทุกครั้งที่ลูกแพ้เป็น ภูมิคุ้มกันจะทำให้เขาหรือเธอแข็งแกร่งขึ้น

ถ้าจะให้ดี ลูกต้องรู้จักการเป็นทั้ง “ผู้ชนะ” และ “ผู้แพ้” แล้วลูกจะเข้าใจความรู้สึกและไม่ยึดติดกับการต้องเป็นผู้ชนะเท่านั้น และเมื่อแพ้ ก็ต้องไม่สิ้นหวัง ต้องมีพลังและทัศนคติที่จะผลักดันให้มีความพยายามในครั้งต่อไป

สอง - เอาใจเขามาใส่ใจเรา

การสอนให้ลูกรู้จักสปิริตของผู้ชนะเป็นเรื่องสำคัญ พ่อแม่ควรถามลูกว่ารู้สึกอย่างไรเมื่อชนะ ความรู้สึกที่มีความสุขเป็นอย่างไร และลองให้เขานึกกลับว่าถ้าลูกแพ้ล่ะจะรู้สึกอย่างไร เพราะฉะนั้นเมื่อลูกชนะในวันนี้ ก็ควรจะเข้าอกเข้าใจผู้อื่นด้วย อย่าซ้ำเติมหรือทับถมผู้อื่น ไม่ว่าจะด้วยคำพูดหรือการแสดงออกว่าเราเก่งกว่าหรือเหนือกว่า ควรต้องเอาใจเขามาใส่ใจเรา

สาม - สร้างแรงบันดาลใจ

ไม่ว่าจะแพ้หรือชนะพ่อแม่ควรต้องหาจังหวะและโอกาสในการที่จะส่งเสริมให้ลูกเกิดแรงบันดาลใจในครั้งต่อไปที่อยากจะทำให้ดีขึ้นหรือมีพัฒนาการมากขึ้น สามารถแปรเปลี่ยนเรื่องที่ลูกชนะหรือแพ้ให้กลายเป็นแรงบันดาลใจในเรื่องอื่น ๆ หรือเสริมสร้างศักยภาพของลูกให้ถูกทาง เพราะเขาอาจจะค้นพบทางที่เขาถนัดและมีความสุขก็ได้

สี่ - อย่าเปรียบเทียบ

กรณีครอบครัวที่มีลูกมากกว่าหนึ่งคน พ่อแม่ต้องระมัดระวังความรู้สึกของลูกอีกคนด้วย ถ้าจะชื่นชมลูกคนโตก็ควรสอนให้ลูกอีกคนชื่นชมยินดีและให้กำลังใจพี่คนโตด้วย และพยายามทำให้อยู่บนความพอดีพอเหมาะ ไม่ใช่ออกนอกหน้า โดยไม่ได้สนใจความรู้สึกของลูกอีกคนที่อยู่ในสถานการณ์นั้น ๆ ด้วย หรือแม้แต่นำไปเปรียบเทียบกับเด็กคนอื่นๆ ก็ไม่ควรทำ เพราะเด็กแต่ละคนก็มีความสามารถเฉพาะตัว และมีพื้นนิสัยที่แตกต่างกันอยู่แล้ว

ห้า - ฝึกให้มีความมุ่งมั่น เพื่อไปสู่เป้าหมาย

สิ่งสำคัญที่พ่อแม่สามารถปลูกฝังและสอดแทรกไปกับการเรียนรู้เรื่องแพ้ - ชนะ คือ ความมุ่งมั่นที่จะไปสู่เป้าหมาย โดยใส่ใจในรายละเอียดระหว่างทางด้วย ให้เขาได้เห็นความสำคัญของทักษะชีวิตในด้านอื่น ๆ ด้วย เช่น ความอดทน ความพยายาม การเรียนรู้ความผิดพลาด ฯลฯ รวมไปถึงการฝึกให้เขามีเป้าหมายในการดำเนินชีวิตอย่างมีแบบแผน

ถ้าเข้าใจได้อย่างนี้ แม้จะเป็นผู้แพ้ แต่ก็ถือเป็นผู้ชนะ ในทางตรงกันข้าม ถ้าไม่เข้าใจได้อย่างนี้ แม้จะเป็นผู้ชนะ แท้จริงแล้วกลับเป็นผู้แพ้

 

 

ที่มา : เว็บไซต์ผู้จัดการ

http://www.thaihealth.or.th/