ที่มา : เว็บไซต์แนวหน้า 

http://www.thaihealth.or.th/

 

 

               ปัญหา "อ้วนลงพุง" เป็นปัญหาใหญ่ที่หลายๆ คนกำลังเผชิญ ซึ่งแต่ละคนมีวิธีกำจัดไขมันตัวร้ายนี้ออกไปแตกต่างกัน แต่ก็ยังมีคนจำนวนไม่น้อยที่นิ่งนอนใจ มองข้ามรอบเอวที่ขยายเพิ่มขึ้นทุกวัน โดยที่ไม่รู้เลยว่า "พุง" คือภัยร้าย เพิ่มความเสี่ยงโรคต่างๆ มาให้คุณ

วันนี้เราจึงมี 5 โรคร้ายที่มาพร้อมพุงพร้อมวิธีรับมือ มานำเสนอ เพื่อให้คุณมีสุขภาพดี ห่างไกลโรคอย่างแท้จริง

ไขมันช่องท้องสาเหตุของอ้วนลงพุง

               ผลการวิจัยพบว่าผู้ที่มีน้ำหนักตัวปกติ แต่คนอ้วนลงพุง มีไขมันหน้าท้องมาก มีแนวโน้มที่จะเสียชีวิตจากโรคต่างๆ มากกว่าคนอ้วนซะอีก ผลวิจัยนี้ถูกนำเสนอใน European Society of Cardiology เมื่อปี 2012 โดยเก็บข้อมูลจากผู้ป่วยกว่า 12,785 คน ตลอดระยะเวลา 14 ปี คำนวณหาดัชนีมวลกายหรือค่า BMI ซึ่งเป็นอัตราของไขมันในร่างกายต่อความสูง และอัตราส่วนของเอวต่อสะโพกเพื่อหาอัตราเสี่ยงของการเกิดโรคต่างๆ

 

 

               ผลการศึกษาพบว่าผู้ที่มีน้ำหนักตัวปกติ แต่มีขนาดรอบเอวมาก มีความเสี่ยงที่จะเสียชีวิตจากโรคต่างๆ มากกว่าผู้ที่มีน้ำหนักตัวปกติและขนาดรอบเอวปกติ 2.1 เท่า

อันตรายและโรคที่มาพร้อม "พุง"

1. ปอดทำงานได้ไม่เต็มที่

               มีผลการวิจัยพบว่า ผู้ที่อ้วนลงพุงนั้นจะทำให้การทำงานของปอดลดลง เมื่อเปรียบเทียบกับคนที่มีสุขภาพดี ไม่สูบบุหรี่ และไม่มีไขมันหน้าท้อง ผลการวิจัยนี้พบว่าผู้ที่มีไขมันส่วนเกินทำให้อัตราการหายใจลดลง ซึ่งเมื่อเกิดขึ้นเป็นเวลานาน ทำให้ทางเดินหายใจหดแคบลง และก่อให้เกิดโรคปอดเรื้อรังอย่างหอบหืดตามมาได้

2. การทำงานของหลอดเลือดผิดปกติ

               จากผลการศึกษาปี 2012 พบความสัมพันธ์ระหว่างผู้ที่อ้วนลงพุงกับภาวะการเกิดโรคหลอดเลือดตีบตันและภาวะหลอดเลือดแข็งตัว โดยนักวิจัยได้เปรียบเทียบระหว่างคนอ้วน คนอ้วนที่มีพุงและคนที่มีสุขภาพดีพบว่า หากอัตราส่วนของเอวต่อความสูงเพิ่มขึ้นทุกๆ 0.1 ทำให้เสี่ยงที่จะเกิดภาวะดังกล่าวมากขึ้น ดังนั้น ผู้ที่มีไขมันส่วนเกินบริเวณหน้าท้องจึงมีความเสี่ยงสูงที่จะเกิดภาวะดังกล่าว และการที่เส้นเลือดแดงแข็งตัวและตีบนั้นก็จะก่อให้เกิดโรคหัวใจตามมาได้

3. เสี่ยงต่อเบาหวาน

               ไขมันในช่องท้องเป็นไขมันที่พบในคนที่มีภาวะอ้วนลงพุง ไขมันนี้มีการผลิตฮอร์โมนซึ่งส่งผลกระทบต่อการทำงานของระบบเผาผลาญในร่างกาย นอกจากนี้ฮอร์โมนดังกล่าวยังทำให้ตัวรับสัญญาณอินซูลินทำงานผิดปกติ ซึ่งหมายความว่าอินซูลินซึ่งเป็นตัวควบคุมระดับน้ำตาลในร่างกายจะทำงานด้อยลง ทำให้เสี่ยงต่อการป่วยเป้นดรคเบาหวานเพิ่มขึ้นนั่นเอง

4. ระดับคอเลสเตอรอลสูง+โรคหัวใจ

               ไขมันที่อยู่บริเวณขาหรือก้นนั้นเป็นไขมันที่มีการเผาผลาญที่ดีต่อสุขภาพมากกว่าไขมันบริเวณหน้าท้องของคนอ้วนลงพุง ซึ่งสาเหตุที่การเผาผลาญไขมันบรัเวณนี้ดีกว่าเนื่องจากได้ระดับน้ำตาล ไตรกลีเซอไรด์ คอเลสเตอรอล และอินซูลินต่ำกว่าไขมันที่เผาผลาญจากบริเวณช่องท้อง นอกจากนั้นไขมันในช่องท้องสามารถเปลี่ยนเป็นกรดไขมันอิสระ ซึ่งส่งผลให้ร่างกายผลิตคอเลสเตอรอล LDL (ซึ่งเป็นไขมันที่ไม่ดีต่อสุขภาพ) นอกจากนั้นกรดไขมันอิสระยังทำให้ระดับของไขมันดีหรือคอเลสเตอรอล HDL ลดลง ซึ่งไขมันเหล่านี้ไม่เพียงส่งผลต่อการทำงานของหลอดเลือด แต่ยังทำให้เกิดโรคหัวใจ ความดันโลหิตสูงและภาวะหัวใจวายตามมาได้

5. เสี่ยงโรคสมองเสื่อมและอัลไซเมอร์

               ผลการศึกษาในปี 2010 พบว่ายิ่งรอบเอวคุณหนามากเท่าไหร่ รวมทั้งยิ่งอ้วนลงพุงมากเท่าไหร่ก็ยิ่งเสี่ยงต่อภาวะสมองเสื่อมและโรคอัลไซเมอร์มากขึ้นเท่านั้น โดยจากการศึกษาพบว่าผู้อ้วนลงพุงทำให้เซลล์สมองน้อยกว่าคนปกติ ซึ่งก่อให้เกิดโรคอัลไซเมอร์ตามมาได้ โดยสาเหตุที่เป็นเช่นนั้นเพราะว่าไขมันจะไปอุดตันในเส้นเลือดทำให้เลือดไหลเวียนขึ้นไปเลี้ยงเซลล์สมองไม่สะดวก สมองจึงขาดออกซิเจน และทำให้เซลล์ตายนั่นเอง

วิธีรับมือกับอ้วนลงพุง

               การทานอาหารในแต่ละมื้อนั้น ส่งผลโดยตรงต่อระดับไขมันในร่างกาย นอกจากนี้ พันธุกรรมก็ส่งผลต่อความอ้วนด้วยเช่นกัน ซึ่งหากคุณเป็นคนอ้วนลงพุง อยากลดน้ำหนักเพื่อให้มีสุขภาพดีและลดอาการเสี่ยงของโรคต่างๆ นั้น ผู้เชี่ยวชาญแนะว่าต้องออกกำลังกายเพื่อกำจัดไขมันในช่องท้องเหล่านี้ และเลือกรับประทานอาหารที่มีประโยชน์ มีไขมันต่ำ จะสามารถช่วยได้ ลองหาเวลาออกกำลังกายให้ได้สักวันละ ครึ่งชั่วโมง - 1 ชั่วโมง เป็นประจำ เพียงเท่านี้ไขมันรอบเอวเหล่านั้นก็จะลดลงได้

จะรู้ได้อย่างไรว่าอยู่ในภาวะ ‘อ้วน’ หรือไม่

               หากคุณเป็นคนผอมหรือน้ำหนักตัวปกติก็อย่าได้ชะล่าใจว่าคุณจะไม่ไขมันน้อยตามไปด้วย ฉะนั้นหากอยากรู้ว่าตนเองอ้วนหรือไม่ ลองหาค่าดัชนีมวลกาย (Body Mass Index : BMI) เพื่อประเมินภาวะอ้วนหรือผอม โดยมีสูตรคือ BMI = น้ำหนักตัว (กิโลกรัม) / ความสูง (เมตร)2 จากนั้น นำค่าที่ได้มาเทียบกับเกณฑ์